เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o ก.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โลกนี้เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจัง แต่เรามีสติปัญญาจะควบคุมได้ไหม? ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม วิกฤติขนาดไหนเราก็เอาตัวรอดได้ เอาตัวรอดนะ ในพระไตรปิฎกบอกว่า

“ต่อไปนี้เวลาโลกมันรุ่มร้อนนัก มันจะเหลือแต่ผู้ที่ทรงศีล ผู้ทรงศีล ผู้มีศีลมีธรรมจะมีชีวิตรอด”

ดูสิอย่างพวกเรา เห็นไหม กระเหม็ดกระแหม่ คำว่ากระเหม็ดกระแหม่ ประหยัด มัธยัสถ์นี่ไม่ใช่ว่าเราไม่มี เรามี เรามี แต่เราฝึกฝนชีวิตประจำวันเราไว้ เรามีของเรานะ แต่เรารู้จักใช้สอยของเรา เวลาเราเกิดวิกฤติขึ้นมา เราเอาตัวรอดได้สบายมากเลย แต่ถ้าเราใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เวลาเราเจอวิกฤติขึ้นไป เราจะดำรงชีวิตอย่างไร?

ผู้มีศีลมีธรรม นี่เวลาเรากินเราอยู่ของเรา มันกินอยู่เพื่ออะไร? แต่ถ้าเรากินอยู่เพื่อดำรงชีวิต เห็นไหม ในพระไตรปิฎกบอกว่า

“นักบวช พระ กินเพื่อดำรงชีวิต ฉันเพื่อดำรงชีวิต”

แต่ทางโลกเขานะ เพื่อเกียรติ เพื่อศักดิ์ศรี เพื่อกาม เพื่อต่างๆ เต็มไปหมดเลย อาศัยด้วยการกินนั้น แต่ถ้าเรามีศีลมีธรรมของเรา เห็นไหม นี่โลกป่วย โลกป่วยเพราะสิ่งใดล่ะ? โลกป่วยเพราะคนเกิดมากขึ้น เราไปดูสภาวะแวดล้อมความเสียหายของการอุตสาหกรรม แต่ทางการวิจัย ของเสียจากร่างกายมนุษย์นี่แหละ แล้วมนุษย์เพิ่มขึ้นมาเท่าไหร่? มนุษย์เพิ่มขึ้นมามหาศาลเลย การกำจัดน้ำเสีย การทำต่างๆ นี่ลงทุนมากกว่าการหาน้ำสะอาดอีก

ฉะนั้น สิ่งที่มันเกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้นเพราะพวกเรานี่แหละ ถ้ามันเกิดขึ้นเพราะพวกเรานะ ถ้าจิตใจเราเป็นสาธารณะ เราช่วยกันประหยัด มัธยัสถ์ ช่วยกัน การใช้การสอยช่วยกัน แล้วช่วยกันนะ จิตใจของคนอื่นเขาจะต่ำของเขาอย่างไร เขาจะทำเพื่อประโยชน์ของเขาอย่างไร มันเรื่องของเขา นี่เราทำของเรา

ในการทำบุญกุศลนะ แม้แต่การให้ทาง คือเราสวนทางกัน เราหลบให้เขาก่อน อันนี้ก็เป็นบุญแล้วนะ เราให้โอกาสคนอื่น เราให้เขาทำก่อน นี่บุญกุศล เราอยากได้บุญกุศลกัน ถ้าสังคมมีการเสียสละ มีการเจือจานต่อกัน สังคมไม่แก่งแย่งกัน เห็นไหม สิ่งนี้มันก็เป็นประโยชน์ แต่! แต่พูดถึงปัญญานะ ดูสิหัวหน้าเป็นผู้นำ นี่นายกรัฐมนตรี หรือผู้นำต่างๆ ที่บริหารประเทศ ถ้าซื่อสัตย์ ซื่อจนทำงานไม่เป็นมันอยู่ไม่ได้หรอก

ในทางโลก เราอยู่กับสังคมเราต้องทันเขา เห็นไหม คำว่าทันเขาคือมีปัญญา แต่จิตใจของเรานะ ดูสิความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้ารู้ทันตัวเองนะ รู้ทันความคิดของตัว รู้ทันการพูดออกไปแล้วกระทบกระเทือนใครบ้าง รู้ถึงประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ไง

นี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อเรามีปัญญาของเรา เราอยู่กับทางโลกเขานะ จิตใจเราทันเขา เราอยู่ในโลกได้ นี้คือปัญญานะ นี้คือปัญญาแบบโลกๆ แต่ถ้าเป็นปัญญาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากจิต เพราะปัญญาเกิดจากจิต เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีอำนาจวาสนา เราจะบริหารจัดการทรัพย์สินสมบัติของเราได้ขนาดไหน เพราะมีเรา

เพราะมีเรา เห็นไหม ทรัพย์สมบัติทางโลก นี่ผลของวัฏฏะ ทรัพย์สมบัติของสาธารณะ ทรัพย์สมบัติของโลกเขา ทรัพย์สมบัติของวัฏฏะ แต่ถ้าเรามีปัญญาขึ้นมา เราบริหารจิตใจของเรา ภาวนามยปัญญานี่อริยทรัพย์ ทรัพย์ที่มันจะรื้อค้นจะรื้อถอนกิเลสในหัวใจของเรา เวลากิเลสในหัวใจของเรา เรามีความวิตกกังวลไหม? โลกนี่ป่วยเราต้องช่วยกันแก้ไข แต่จิตใจมันป่วยมันไข้ใครจะแก้ไข?

ถ้าจิตใจมันป่วยมันไข้ เห็นไหม เราจะทุกข์ร้อนไปกันหมด เวลาเขาทำประชาสัมพันธ์ นั่นจะเป็นอย่างนั้น เราก็เป็นเหยื่อเขาไปตลอด แต่ถ้าเรามีสตินะ เรามีสติ เรามีปัญญาของเรา นี่ถ้าจิตใจของเรามีหลักมีเกณฑ์ เราจะไม่เป็นเหยื่อของเขาหรอก เราจะได้ประโยชน์ของเขาตลอด ดูตลาดหุ้นสิ เวลาหุ้นขึ้น คนที่มีปัญญาเขาก็ได้กำไร เวลาหุ้นลง คนที่มีปัญญาเขาก็ได้กำไร ขึ้นก็ได้กำไร ลงก็ได้กำไร เขารู้จักซื้อรู้จักขายของเขา

โลกก็เหมือนกัน ถ้ามันเจริญรุ่งเรือง เห็นไหม เราก็มีความสุขของเรา ถ้ามันถึงคราวมันป่วย เราก็ดูแลของเรา เราไม่ไปเดือดร้อนกับเขา ถ้าจิตใจของเรามีหลักมีเกณฑ์นะเราต้องฝึกกันที่นี่ ถ้าเราฝึกกันที่นี่นะ เราไม่ไปตื่นกับเขาไง โลกมันเป็นแบบนี้ เราจะหนีกันไปที่ไหน? เราหนีความชราภาพของเราไม่ได้นะ เวลาเกิดมา เห็นไหม วันคืนล่วงไปๆ นี่วันคืนล่วงไปๆ สิ่งที่ได้มาคือชีวิตที่เสียไป

นี่เราหนีความชราภาพของเราได้ไหม? แต่ความชราภาพของเรา ความรัตตัญญู ผู้มีราตรียาว ผู้ที่ผ่านโลกมา สิ่งนี้เราจะบอกได้ เราจะสอนได้ เพราะประสบการณ์ของเรา ถ้าประสบการณ์ของเรา สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรา แต่เราหนีความเป็นอนิจจัง หนีความสิ้นไปของชีวิตนี้ไม่ได้ ถ้าหนีไม่ได้เราอยู่ที่นี่แหละ เราแก้ไขของเรา เราไม่ให้เป็นเหยื่อของใคร

โลกมันจะเป็นอย่างไรมันเป็นแบบนั้น เรามาแก้ไขที่หัวใจของเรา โลกป่วยเราก็แก้ไขที่โลกป่วย ถ้าจิตใจคนป่วย เห็นไหม เวลาเรามีความสุข มีความรื่นเริง นี่เรามีความรู้สึกอย่างไร? เวลาจิตใจมันเศร้าสร้อยหงอยเหงานะ เราจะเห็นคุณค่าของธรรมะ เวลาคุณค่าของธรรมะ ถ้าเรามีสติปัญญาทันความคิด ความเศร้าสร้อยนั้นมันหายไปไหน?

เวลาจิตใจมันยอมจำนนนะ มันนั่งคอตกนะ มันทุกข์ มันยาก มันลำบากของมัน ทั้งๆ ที่สมบัติมหาศาลนี่แหละ แต่จิตใจมันวิตกกังวล แต่ถ้าเวลาสติปัญญามันทัน มันสลัดทิ้งสิ่งที่เป็นตัณหาความทะยานอยาก

สมุทัย เห็นไหม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.. ความทุกข์เกิดจากสมุทัย เกิดจากความเข้าใจผิด เกิดจากความเห็นผิด ถ้าเราแก้ไขตรงนั้นนะความเห็นถูกต้อง พอความเห็นถูกต้องนะ ทุกข์มันจะมาจากไหน? ทุกข์มันไม่มี ไม่มีเพราะอะไร? เพราะมันเกิดสมุทัย เราละที่สมุทัย ละที่ความเห็นผิด ความเห็นถูกต้องดีงามแล้ว เราบริหารของเรา จัดการของเราไป

นี่เราแก้ไขความป่วยไข้ของใจ ถ้าเราแก้ไขความป่วยไข้ของใจ เห็นไหม เรามาทำบุญกุศลเขาเรียกเสียสละทาน นี่เป็นเครื่องแสดงออกของค่าของน้ำใจ ถ้าจิตใจคนเสียสละ คนได้แสดงออก ถ้าจิตใจมันไม่ได้แสดงออก ดูสิเวลาเรานั่งอยู่นานๆ หรือเรานอนอยู่นานๆ เราไม่เปลี่ยนกิริยาของเรา เราทนอยู่ได้ไหม? จิตใจที่มันได้บริหารของมัน การเสียสละ การแสดงออกของใจ ถ้าใจมันได้แสดงออกถึงค่าของน้ำใจ เห็นไหม นี่เสียสละทาน

ศีลความปกติของมัน มันเคลื่อนไหวแต่มันนิ่ง ถ้ามันมีความปกติของมันนะ.. เคลื่อนไหว เห็นไหม นี่ว่าเป็นสัมมาสมาธิ ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ นี่เคลื่อนไหวแต่นิ่งอยู่ ความเคลื่อนไหวของมัน มันมีพละกำลังของมัน มันไม่อัดอั้นตันใจ นี่ถ้ามันมีความปกติของใจ มันจะมีหลักใจของมัน แล้วถ้าเกิดมีปัญญาของมัน ปัญญาจะแก้ไขของมัน

ถ้าเราแก้โรคในได้ โลกทัศน์ความเห็นของเรา เวลาเขาดูวิสัยทัศน์ ดูโลกทัศน์ เห็นไหม ดูปัญญาของคน ถ้าปัญญาของคนนะ มันมีปัญญาของมัน มันแก้ไขสิ่งใดๆ ได้ นี่เรามองแต่โลกข้างนอก โลกนี้มีเพราะมีเรา เพราะมีเรา เราถึงเห็นสภาวะความเปลี่ยนแปลงของโลก ถ้าไม่มีเรา โลกมันก็เปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนี้แหละ แล้วอนาคตมันจะเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้

ทุกคนพยายามจะรักษานะ แต่ความเป็นจริงของมัน นี่เวลาคาร์บอนไดออกไซด์จากต้นไม้ จากต่างๆ มันก็คลายพิษของมันทั้งนั้นแหละ เรามองกันแต่ว่าเราทำร้ายโลกๆ แต่ถ้าความเป็นจริง เห็นไหม ตั้งแต่โลกที่มันเปลี่ยนแปลงมาตลอด ตั้งแต่ยุคน้ำแข็ง สิ่งต่างๆ มันเปลี่ยนแปลงของมันมา

โลกนี้เป็นอนิจจัง มันจะเปลี่ยนแปลงของมันไป แต่ตอนนี้วิทยาศาสตร์มันเจริญขึ้นมา แต่เดิมเวลามีโรคระบาด ชีวิตของคนหมดไปทีหนึ่งค่อนโลกนะ แต่ตอนนี้วิทยาศาสตร์มันเจริญ แต่ความเจริญมันกินตัวมันเอง ในปัจจุบันนี้ทางวิทยาศาสตร์ ทางการแพทย์เขาพยายามคิดค้นหาตัวยาเพื่อรักษาโรค แต่ตอนนี้นะ เวลารักษาแล้วโลกมันหมุนเวียนเร็วมาก ยานี่อายุของการรักษามันสั้นลงๆ จนเขาไม่วิจัยยากันแล้ว มันไม่คุ้มทุน

ตอนนี้นะ เวลาติดเชื้อขึ้นมานี่เขาเอาอะไรแก้ไขกัน แก้ไขไปตามอาการ เห็นไหม เพราะดูแต่กำไรขาดทุนไง เขาไม่ดูถึงน้ำใจของคนไง ฉะนั้น การวิจัย การกระทำมันต้องเป็นทุนของรัฐบาล เพราะรัฐบาลลงทุนใช่ไหม? เอกชนเขาลงทุน เขาวัดผลกันที่กำไรขาดทุน ถ้ารัฐบาลลงทุนวิจัย นี่มันจะมาฆ่าเชื้อที่เราเป็นกันอยู่นี้

นี่ความเป็นไปของโลกมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลานะ ฉะนั้น สิ่งนี้เราไล่ตะครุบเงาไม่ทันหรอก เราไล่ตะครุบโลกไม่ทัน แต่เราไล่ตะครุบใจเราทันนะ หัวใจของเรานี่ เรามีสติแล้วเราใคร่ครวญของเรา อย่างอื่นเราแก้ไขไม่ได้ ในหัวใจของเรา เราจะต้องแก้ไขที่นี่ แล้วเราจะไม่ตื่นไปกับโลกนะ

“หยดน้ำบนใบบัว”

เราอยู่กับโลกแต่ไม่ตื่นไปกับเขา แต่ถ้าเราอยู่กับโลก แล้วเราตื่นไปกับโลกนะ เราทุกข์ร้อนนะ เราอยู่กับโลกแต่ไม่ตื่นไปกับเขา ไม่ตื่นเพราะเหตุใดล่ะ? ไม่ตื่นเพราะมีปัญญา ไม่ตื่นเพราะเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงเราจะเข้าไม่ทัน ถึงเราจะเข้าไม่ถึง แต่เราก็พยายามของเราอยู่ เห็นไหม เราพยายามยืนของเรา ยืนหัวใจของเรา เพื่อไม่เป็นเหยื่อของโลก ไม่เป็นเหยื่อของกิเลสในหัวใจของเราเองนะ เราเป็นเหยื่อความรู้สึกนึกคิด เป็นเหยื่อของเรานะ ถ้ามีปัญญาสลัดมันทิ้ง เราไปเผชิญกับความจริง

ชีวิตนี้เกิดมาแล้วเราต้องแก้ไข เราต้องอยู่ได้ ชีวิตนี้มีค่ามาก เห็นไหม มีค่าเพราะเราเกิดมาแล้วเรารู้ เราเห็น เราเกิดมาแล้วเราแก้ไขได้ เวลาคนนะ คนเรามันเหิมเกินไป ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้กำหนดมรณานุสติ กำหนดถึงความตายนะ ถ้ามันหดหู่ มันเป็นธรรมะ มันเป็นธรรมสังเวช ถ้ามันเป็นธรรมสังเวช เห็นไหม เวลาคนตายไป ไปนรกยมบาลก็ถามว่า

“เห็นธรรมไหม? เห็นธรรมไหม?”

เราบอก “ไม่เคยเห็น”

เขาถามกลับว่า “เห็นคนเกิดไหม? เห็นคนแก่ไหม? เห็นคนเจ็บไหม? เห็นคนตายไหม? นั้นคือสัจธรรม”

ฉะนั้น เวลาเราคิดถึงมรณานุสติ เห็นไหม เราคิดถึงความตาย จิตใจของเรามันจะมีค่าขึ้นมานะ มีค่าขึ้นมาเพราะว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงไง ชีวิตนี้มันอยู่บนกาลเวลา ชีวิตนี้ กาลเวลานี่ถ้ามันสิ้นสุดกาลเวลามันก็หมุนไป ชีวิตเราไม่มี ชีวิตนี้มันอยู่ได้เพราะกาลเวลา แล้วกาลเวลามันสืบเนื่องกัน เห็นไหม แล้วจิตใจมันคิดถึงมรณานุสติไง

เพราะชีวิตนี้มันต้องคงอยู่ นี่เวลาเราตายไป เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้ว การตายนี่ของหลอกกัน เพราะจิตมันไม่เคยตาย มันตายจากสถานะหนึ่ง มันมีธาตุรู้ มันจะเกิดอีกสถานะหนึ่ง สถานะหนึ่ง สถานะหนึ่งในวัฏวนนี่แหละ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดในนรกอเวจี มันจะเกิดของมัน ฉะนั้น มันตายจริงหรือเปล่า?

มันตายไม่จริงไง เราเห็นไหม เวลาคนตายเราไปส่งกันที่เชิงตะกอน แต่จิตมันเคยตายไหม? จิตมันไม่เคยตาย ฉะนั้น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้วนี่ เห็นว่าจิตมันไม่เคยตาย แล้วจิตมันคงที่ นิพพานมีอยู่ นิพพานเที่ยง เขาว่ากันอย่างนั้น ถ้านิพพานเที่ยง เห็นไหม จิตถึงไม่เคยตาย

ฉะนั้น การเกิดการตายนั้นหลอกกัน แต่! แต่เวลาเรานึกถึงมรณานุสติทำเพื่อเหตุใด? เพราะจิตใจมันเห่อเหิมไง จิตใจมันเห่อเหิมถึงสถานะนี้ จิตใจมันเห่อเหิมถึงสมบัติพัสถานของเรานี้ ถ้ามันตายไป เห็นไหม มันต้องพลัดพราก พอมันพลัดพรากมันจะสลดหดหู่ ความสลดหดหู่นั้นธรรมสังเวช! ธรรมสังเวชมันจะเกิดสติปัญญา ไม่เป็นเหยื่อของโลก

ฉะนั้น เวลาเรานึกถึงมรณานุสติ นึกถึงพุทโธ นึกถึงสิ่งต่างๆ ให้จิตใจนี้เกาะเกี่ยวมีที่พึ่ง ไม่ใช่เร่ร่อน สัตว์เร่ร่อน สัตว์ไม่มีเจ้าของ สติเป็นเจ้าของนะมันจะรักษาใจเรา ถ้ามีสติปัญญาเราระลึกสิ่งต่างๆ หัวใจเราสมบูรณ์ขึ้นมา มันจะระลึกถึงเรา ระลึกถึงจิตใจของเรา เห็นไหม

ถ้าโลกเขาป่วยนั่นเรื่องหนึ่ง ถ้าใจของเราป่วย เราต้องดูแลรักษาใจของเราเพื่อให้ใจหายป่วย แล้วพอใจหายป่วยแล้วนะ สิ่งที่ว่าเป็นมรณานุสติๆ นี่จิตใจมันหดหู่ จิตใจมันเกิดธรรมสังเวชจนมีกำลังของมัน แล้วมันแก้ไขตัวมันเองนะ

เวลาสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้ว ความตายนี้หลอกกัน หลอกกันเพราะว่ามันหมดสถานะหนึ่งมันก็เกิดอีกสถานะหนึ่ง มันสิ้นสุดไม่ได้ คนทำลายความรู้สึกไม่ได้ จิตใจที่เป็นธาตุรู้ใครฆ่ามันไม่ได้ ชีวะนี้ไม่มีใครฆ่ามัน แต่มนุษย์คนฆ่าได้ ทุกอย่างคนฆ่าได้ แต่ความรู้สึกไม่มีฆ่าได้ เว้นไว้แต่มันมีมาร มันมีอวิชชานอนเนื่อง

มันมีภวาสวะ มีภพ มีการนอนเนื่อง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปชำระล้างตรงนี้ ไปแก้ไขตรงนี้ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมโอสถนี้ถึงมีค่ามาก มีค่า เห็นไหม เราไปตลาดซื้อยา ซื้อสิ่งรักษาโรคกัน แต่เวลาต้องการธรรมโอสถต้องนั่งสมาธิ ต้องใช้ปัญญา ไม่มีซื้อขายในท้องตลาด ที่ไหนก็ไม่มีการซื้อ ที่ไหนก็ไม่มีการขาย เราจะต้องขวนขวายการกระทำของเรามา เพื่อเป็นสัจธรรม เพื่อกลับมาในหัวใจเรา เราถึงจะรักษาความป่วยไข้ของใจ เอวัง